
รักษาสิวแบบองค์รวม วิเคราะห์ลึกถึงต้นเหตุ
ดูแลโดยแพทย์ผิวหนัง พร้อมฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน
Acne Program
โปรแกรมนี้ช่วยรักษาสิวอะไรบ้าง?
สิวไม่อักเสบ
- สิวอุดตันหัวขาว (Whiteheads)
- สิวหัวดำ (Blackheads)
- สิวเสี้ยน
- สิวผดจากความร้อน/แสงแดด (Acne aestivalis)
สิวจากเชื้อรา
- สิวเชื้อรา หรือสิวยีสต์ (Malassezia folliculitis)
สิวอักเสบ
- สิวอักเสบทั่วไป (Papules)
- สิวหัวหนอง (Pustules
- สิวอักเสบขนาดใหญ่ / สิวไต (Nodules)
- สิวหัวช้าง (Acne conglobata)
- สิวซีสต์ (Acne cysts
ปัญหาหลังสิวที่โปรแกรมนี้ช่วยได้
- รอยแดงจากสิว
- รอยดำ/PIH (Post-Inflammatory Hyperpigmentation)
- หลุมสิว (แผลเป็นจากสิว)
- รูขุมขนกว้าง
- ผิวอ่อนแอ แพ้ง่ายจากการรักษาที่ผิดวิธี
สิว มีสาเหตุเกิดจากอะไร?

สิวมีสาเหตุเกิดจากการอุดตันภายในรูขุมขนที่เกิดจากการผลัดเซลล์ผิว น้ำมัน หรือส่วนของไขมันที่ถูกขับออกจากต่อมไขมันใต้ชั้นผิวหนังผ่านท่อขนาดเล็กลงสู่รูขุมขนจนเกิดการอุดตันและสะสมทำให้เกิดสิว สาเหตุของการเกิดสิว ได้แก่
- น้ำมัน หรือส่วนของไขมัน (Sebum) ที่เกิดจากการสังเคราะห์ของต่อมไขมันใต้ผิวหนังชั้นบน ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวหนังชั้นล่าง
- เซลล์ผิวที่ตายแล้ว (Dead skin cells) โดยปกติ ผิวหนังจะผลัดผิวเซลล์ที่ตายแล้ว เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ การผลัดเซลล์ผิวในรูขุมขนทำให้เกิดการสะสมจนเกิดการอุดตัน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิว รอยแดง และอาการเจ็บสิว
- แบคทีเรีย (Bacteria) แบคทีเรียตามธรรมชาติที่อาศัยอยู่ในรูขุมขนและบนผิวหนังเป็นจำนวนมากจนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสะสมอุดตันและเกิดสิว
- การอักเสบ และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย (Inflammation and immune response) เป็นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายต่อเชื้อแบคที่เรีย หรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายจนเป็นสาเหตุทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อเกิดเป็นสิวบวมแดง
ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว มีอะไรบ้าง?
- การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เช่น การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนที่สูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น หรือวัยเจริญพันธุ์ทำให้เกิดการกระตุ้นต่อมไขมันให้ขับน้ำมันออกมามากกว่าปกติ เกิดการสะสมจนอุดตันร่วมกับเซลล์ผิวเสียและแบคทีเรียทำให้เกิดสิวอักเสบ
- การตั้งครรภ์ หรือช่วงก่อนการมีประจำเดือน วัยรุ่นช่วงอายุ 11-14 ปี จะมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้เกิดการอักเสบของรูขุมขนและเกิดสิว
- กรรมพันธุ์ (Genetics) เช่น พ่อ หรือแม่ที่มีประวัติเป็นสิวอักเสบ หรือสิวเรื้อรัง ลูกก็มีโอกาสที่จะเป็นสิวชนิดเดียวกัน
- โรคบางชนิด เช่น โรคถุงน้ำในรังไข่ (Polycystic ovary syndrome)
- ความเครียด (Stress) ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งทำให้เกิดสิว
- อาหารบางชนิด เช่น อาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ช็อกโกแลต หรืออาหารจำพวกแป้ง ทั้งนี้อาหารที่เป็นสาเหตุให้เกิดสิวของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน
- ยาบางชนิด เช่น ยาที่มีส่วนผสมของคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เทสโทสเตอโรน (Testosterone) หรือลิเธียม (Lithium)
- เครื่องสำอางบางชนิด และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เช่น แป้งทาหน้า หรือครีมบางชนิดที่ทำให้เกิดการระคายเคือง แพ้ หรือการเกิดการอุดตันในรูขุมขน
- สิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่น ควัน มลภาวะเป็นพิษทางอากาศ PM2.5 ความไม่สะอาด
- สภาพอากาศ อุณหภูมิ เช่น อากาศร้อน และความชื้น
สิว มีกี่ชนิด?

สิวมีหลายชนิด โดยสามารถจำแนกออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ สิวไม่อักเสบ และสิวอักเสบ
1. สิวไม่อักเสบ
- สิวอุดตัน (Comedones) คือ สิวที่เกิดจากการสะสมอุดตันของไขมันส่วนเกิน เซลล์ผิวเสีย หรือสิ่งสกปรกตกค้างในรูขุมขนจนทำให้เกิดสิวอุดตันทั้งแบบสิวหัวเปิด สิวหัวปิด หรือสิวอุดตันใต้ชั้นผิวหนัง สิวอุดตันแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่
- สิวหัวขาว (Whiteheads) คือ สิวอุดตันชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาวหัวปิด โดยมีสาเหตุการเกิดทั้งจากปัจจัยภายใน เช่น ระดับฮอร์โมน การอุดตันของน้ำมันหรือเซลล์ผิวเสีย หรือกรรมพันธุ์ หรือปัจจัยภายนอก เช่น ยาคุมกำเนิด เครื่องสำอาง หรือฝุ่นละออง มลภาวะในอากาศ ทำให้เกิดจากการอุดตันของน้ำมัน และเซลล์ผิวเสียในรูขุมขนที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีขาวใต้ผิวหนังที่อาจนำไปสู่การติดเชื้อ และสิวอักเสบ
- สิวหัวดำ (Blackheads) เกิดจากไขมันส่วนเกิน เส้นขน หรือเซลล์ผิวเสียที่ทับถมอุดตันในรูขุมขน และทำปฏิกิริยากับเมลานินหรือเม็ดสีในผิวหนังร่วมกับออกซิเจนจนทำให้เป็นสิวหัวดำที่มีลักษณะเป็นสิวหัวเปิด หรือสิวเสี้ยน โดยทั่วไป สิวหัวดำเป็นสิวชนิดที่พบได้บ่อยและไม่ร้ายแรง
- สิวเสี้ยน (Pimples) คือ สิวที่พบได้ทั่วไปบนใบหน้า มีลักษณะเป็นสิวเล็ก ๆ คล้ายหนามที่เกิดจากความผิดปกติของรูขุมขนที่มีกระจุกขนเส้นเล็ก ๆ หลายเส้นขึ้นแทรกอยู่บนหัวสิวภายในรูขุมขนเดียวกัน เมื่อขนอ่อนที่อุดตันร่วมกับไขมัน และเซลล์ผิวเสียส่งผลให้เกิดสิวเสี้ยนตามมา
- สิวผด (Acne aestivalis) เป็นสิวหัวเปิดที่เกิดจากการถูกกระตุ้นด้วยรังสี UVA ความร้อนจากแสงแดด หรืออากาศร้อน ทำให้เกิดเป็นสิวผดที่มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ คล้ายสิวอุดตัน หรือตุ่มแดงคล้ายสิวอักเสบ
2. สิวอักเสบ
- สิวอักเสบ (Papules) คือ สิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงเข้มถึงสีม่วง หรือมีสีเข้มกว่าสีผิวตามธรรมชาติ เป็นสิวที่กดแล้วเจ็บ โดยมักเกิดจากสิวหัวขาวที่ถูกกระตุ้นด้วยแบคทีเรียจนทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง
- สิวหัวหนอง (Pustules) หรือสิวหัวเหลือง คือ สิวอักเสบชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นตุ่มบวมแดงขนาดใหญ่ที่ฐาน ด้านบนเป็นหนองสีเหลือง บวมนูน เป็นหนองที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายจากการต่อสู้กับเชื้อแบคที่เรียที่ทำให้เกิดการอักเสบและเป็นสิว ทั้งสิวหัวหนองขนาดเล็ก และสิวหัวหนองขนาดใหญ่
- สิวอักเสบขนาดใหญ่ (Nodules) หรือสิวไต คือ สิวอักเสบที่อยู่ชั้นผิวหนังด้านล่างคล้ายสิวหัวช้าง แต่เล็กกว่า มีลักษณะเป็นก้อนนูนแดง เมื่อจับจะเป็นก้อนไตแข็งใต้ผิวหนัง ไม่มีหัว มักพบที่บริเวณใบหน้า หลัง หน้าอก สิวไตเป็นสิวที่ต้องใช้เวลาในการรักษา และอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็น
- สิวเชื้อรา หรือสิวยีสต์ (Malassezia folliculitis) เกิดจากการอักเสบของต่อมรูขุมขนที่มีสาเหตุเกิดจากเชื้อราประเภทยีสต์ (Malassezia species) เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มแดงและมีอาการคัน โดยมีปัจจัยจากสภาพอากาศที่ร้อน อับชื้น หรือเมื่อมีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ
- สิวหัวช้าง (Acne conglobata) เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่มีหัวสิวขนาดใหญ่ เป็นตุ่ม หรือก้อนไตสีแดงที่เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันใต้ชั้นผิวหนังบนใบหน้าที่ผลิตไขมันออกมามากกว่าปกติจนไปอุดตันรูขุมขนและเกิดเป็นสิวอักเสบ บวม นูน ที่มีอาการเจ็บรุนแรงแม้ไม่ได้กด อาการเจ็บอาจร้าวไปที่ผิวหนังรอบ ๆ โดยไม่ทุเลาลงในเร็ววัน ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและทำการรักษา
- สิวซีสต์ (Acne cysts) เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นก้อนนูนแดงขนาดใหญ่ ภายในเป็นโพรงมีหนองปนเลือดที่เกิดจากการอักเสบรุนแรงใต้ชั้นผิวหนัง สิวซีสต์เป็นสิวที่มีระดับความเจ็บปวดมากที่สุด เป็นสิวที่มีหัวสิวหลายหัวกระจุกตัวรวมกันเป็นไตแข็ง และสามารถขยายขนาดใหญ่ขึ้นได้ หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เป็นสิวเรื้อรัง เป็นแผลเป็น หรือเป็นหลุมสิวขนาดใหญ่ ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและทำการรักษา
แพทย์ผิวหนังจะทำการตรวจวินิจฉัยสิวโดยการประเมินสภาพผิวภายนอกเพื่อระบุประเภทของสิวและรอยโรค รวมทั้งตรวจระดับความรุนแรง การอักเสบ ขนาดและสี บริเวณที่เป็นสิว อาการเจ็บปวด รวมถึงผลกระทบทางจิตใจ จากนั้นแพทย์จะทำการซักประวัติเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่อาจเป็นที่มาของสิว หรือปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดสิว
สิว มีวิธีการรักษาอย่างไร?
เป้าหมายในการรักษาสิวของแพทย์ผิวหนัง คือการช่วยให้สิวยุบตัวลงโดยเร็ว หยุดการเกิดสิวใหม่ และป้องกันการเกิดแผลเป็น โดยแพทย์จะพิจารณาให้ยารักษาสิวทั้งชนิดรับประทาน หรือชนิดที่ทาภายนอก โดยคำนึงถึง อายุ ชนิดของสิว และระดับความรุนแรง และช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันบนใบหน้า การเกาะตัวกันของเซลล์ในรูขุมขนที่ผิดปกติ รวมถึงช่วยลดระดับไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ลดแบคทีเรีย และลดการอักเสบ
1. ยาทาเฉพาะที่ หรือยารักษาสิวชนิดใช้ภายนอก (Topical medications)
- ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical antibiotics) โดยใช้ร่วมกับยาทาเฉพาะที่ชนิดอื่น เช่น ยาเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) เพื่อยับยั้งแบคทีเรีย และลดการผลิตน้ำมัน
- ยาทาเรตินอยด์ (Retinoids) ที่มีส่วนผสมของอนุพันธ์วิตามิน A เพื่อรักษาสิวและรอยโรคที่อาจทำให้เกิดสิวซ้ำ และช่วยลดเลือนริ้วรอยจากแผลเป็น
- กรดอะเซลาอิก (Azelaic acid) และกรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยสลายสิวหัวดำและสิวหัวขาว และยังช่วยลดการผลัดเซลล์ผิวในรูขุมขน
- ซัลเฟอร์ (Sulfur) หรือกำมะถัน มีประสิทธิภาพช่วยสลายสิวหัวดำ และสิวหัวขาว
2. ยารักษาสิวชนิดรับประทาน (Oral medications)
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ที่ช่วยชะลอ หรือหยุดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและลดการอักเสบ โดยแพทย์จะสั่งยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานร่วมกับชนิดที่ใช้ทาภายนอกสำหรับสิวที่มีระดับความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก เช่น สิวอักเสบชนิดรุนแรง หรือสิวเรื้อรัง
- ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน (Oral contraceptives) ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนแอนโดรเจนที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว
- ฮอร์โมนต้านฤทธิ์แอนโดรเจน (Anti-androgen agents) เป็นยาต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนสำหรับผู้หญิง มีคุณสมบัติช่วยลดผลกระทบของฮอร์โมนแอนโดรเจนที่ส่งผลต่อการทำงานของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง
- เรตินอยด์ (Retinoids) หรือยากลุ่มอนุพันธุ์วิตามิน A ช่วยรักษาสิวโดยการช่วยเปิดรูขุมขนเพื่อให้ยาชนิดอื่น ๆ เช่น ยาปฏิชีวนะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่ และช่วยลดเลือนแผลเป็นจากสิว
ทั้งนี้ แพทย์ผิวหนังจะเป็นผู้พิจารณาทางเลือกในการรักษาที่ดีที่สุดของแต่ละบุคคล โดยคำนึงถึงผลการตรวจวินิจฉัยสภาพผิวโดยละเอียด
3. การรักษาสิวด้วยการบำบัด (Acne therapies)
ในผู้ที่เป็นสิวอักเสบรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาทาเฉพาะที่และ/หรือยารักษาสิวชนิดรับประทาน แพทย์อาจพิจารณาใช้วิธีการอื่น ๆ ในการรักษา เช่น
- การบำบัดด้วยแสง (Light therapy) เป็นการฉายแสง LED ความเข้มสูงช่วยกระตุ้นกลไกการฟื้นฟูของเซลล์ผิว และช่วยลดเลือนริ้วรอย
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical peeling) เป็นการบำบัดด้วยสารเคมีเพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกเพื่อสร้างเซลล์ผิวใหม่
- การกดสิว (Comedone extraction) แพทย์อาจพิจารณาการรักษาสิวโดยการกดสิวทั้งสิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวซีสต์ที่รักษาไม่หายด้วยการยาทาเฉพาะที่เพื่อช่วยด้านภาพลักษณ์และบุคลิกภาพของผู้รับการรักษา อย่างไรก็ตามการกดสิวอาจทำให้เกิดแผลเป็น และอาจต้องมีการบำบัดสภาพผิวเพิ่มเติม
- ยาฉีดสเตียรอยด์ (Steroid injection) แพทย์อาจพิจารณาให้ยาฉีดสเตียรอยด์เพื่อช่วยลดการอักเสบของสิวอักเสบชนิดรุนแรง โดยฉีดตรงไปที่ผิวหนังบริเวณสิวอักเสบเพื่อช่วยให้สิวยุบตัวเร็วและลดความเจ็บปวด โดยอาจมีผลข้างเคียงคือทำให้ผิวบาง และสีผิวบริเวณที่ฉีดเข้มขึ้น
4. Cellect V
เป็นเครื่องรุ่นใหม่ ใช้สำหรับรักษารอยแดง รอยดำ จากสิว กระตุ้นผิวใส และลดสิวอย่างอ่อนโยน เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสิว ผิวไม่สม่ำเสมอ และต้องการฟื้นฟูหน้าใสโดยไม่ลอกผิวรักษารอยแดง รอยดำ จากสิว พร้อมผิวใสขึ้นแบบอ่อนโยน
Cellect V IPL คืออะไร?
Cellect V (Intense Pulsed Light) คือเทคโนโลยีแสงความเข้มข้นสูง ที่สามารถ รักษารอยแดง รอยดำ ฝ้า กระ และปัญหาผิวหมองคล้ำได้อย่างครอบคลุม พร้อมฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงและกระจ่างใสแบบอ่อนโยน

ข้อดีของ Cellect V
- ความยาวคลื่นที่ถูกออกแบบมาเฉพาะ
- ระบบความเย็น Cooling Tip ป้องกันผิวไหม้
- เหมาะกับคนที่ผิวแพ้ง่าย เป็นสิวบ่อย
Cellect V IPL เหมาะกับใคร?
- คนที่มี รอยแดงจากสิว / รอยดำสิว
- ผู้ที่มี ผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
- มีปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูใส สุขภาพดี
- ผู้ที่ไม่ต้องการเลเซอร์ที่ลอกผิวหรือมีแผล
ผลลัพธ์หลังทำ Cellect V IPL
- รอยแดง-ดำ จางลงอย่างต่อเนื่อง
- ผิวกระจ่างใสขึ้นใน 1–2 สัปดาห์
- รูขุมขนดูละเอียดขึ้น
- ผิวแข็งแรงขึ้น ไม่ไวต่อแดดเหมือนเลเซอร์รุ่นเก่า
ทำไม Cellect V IPL ถึงต่างจาก IPL รุ่นทั่วไป?
- ปรับพลังงานเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
- ลดความร้อนบนผิว = ไม่แสบ ไม่บวม
- ทำได้บ่อยกว่าเลเซอร์อื่น (ทุก 2–3 สัปดาห์)
- ผิวไม่ลอก ไม่ตกสะเก็ด
รักษาสิว ต้องที่ DermaDream Clinic
- แพทย์เป็นผู้วิเคราะห์และวางแผนการรักษาเองทุกเคส
- รักษาทั้ง "ต้นเหตุ" และ "ผลลัพธ์ของสิว" ไม่ใช่แค่ลดการอักเสบ
- โปรแกรมไม่ตายตัว ออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล
- ผสานการรักษาด้วยยา ทรีตเมนต์ และเลเซอร์ โดยไม่ระคายเคียงผิว อ่อนโยนต่อผิว

สิวไม่ใช่เรื่องผิวเพียงผิวเผิน แต่เกิดจากการทำงานร่วมกันของฮอร์โมน แบคทีเรีย การอุดตัน ความเครียด พฤติกรรม และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ การรักษาเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งมักไม่เพียงพอ
เราจึงออกแบบการดูแลแบบองค์รวม เพื่อฟื้นฟูทั้งผิวและความมั่นใจในระยะยาว
รีวิวโปรแกรม Acne Program ที่ Dermadream Clinic

หมอเป็นคนดูแลเองทุกเคส
เริ่มจากคำปรึกษาที่คุณไว้วางใจได้
ติดต่อเพื่อประเมินเบื้องต้นกับแพทย์ได้เลย
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
ตอบคำถามที่เกี่ยวกับ Acne Program